ดวงจันทร์กลมโตส่องแสงสว่างข่มหมู่ดาวอยู่ไกลลิบตา ช่างแตกต่างกับท้องนภาสีหมึกที่ดำมืดราวกับเจือไว้ด้วยความลับมากมายที่ชาวโลกมิอาจล่วงรู้ได้ แต่ถึงจะลึกลับเพียงใด คืนนี้ก็ยังคงเป็นคืนที่แสนพิเศษอยู่วันยังค่ำ พิเศษกว่าทุกๆ วัน...
"ซ่า.... ซ่า...."
วิทยุเครื่องเก่าคร่ำคร่าที่วางอยู่เหนือเตาอบส่งเสียงร้องน่ารำคาญประหนึ่งสัญญาณเตือนถึงวาระสุดท้ายในการเป็นวิทยุของมัน
"เป็นบ้าอะไรอีกล่ะเนี่ย !!"
หญิงวัยประมาณสามสิบต้นๆ ละมือจากการคนซุปในหม้อก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบวิทยุเครื่องนั้นลงมาพร้อมทั้งปรับเสาสัญญาณไปเรื่อยๆ สีหน้าของเธอนอกจากจะมันเพราะอยู่หน้าเตามาเป็นชั่วโมงแล้ว ยังแลดูหงุดหงิดงุ่นง่านใจเป็นที่สุด
"ติดสักทีซี่ !" เธอหมุนเสาอากาศของวิทยุตามวิถีทางของวงกลมได้สามร้อยห้าสิบเก้าองศาโดยประมาณก่อนที่เสียงจากลำโพงเก่าๆ ของวิทยุจะดังขึ้น !
"ซ่า.... อะ....โอ...โอ้ ! ท่านผู้ฟังที่รักครับ ลองมองออกไปนอกหน้าต่างสิครับ" หญิงสาวตั้งท่าจะเดินถือวิทยุไปที่หน้าต่าง แต่พอขยับตัวเข้าหน่อย วิทยุเจ้ากรรมก็ดันส่งเสียงซ่าๆ ขึ้นมาอีกรอบ ทำให้เธอต้องจำใจยืนอยู่หน้าเตาเช่นเดิม พร้อมกับจัดองศาของเสาอากาศของวิทยุใหม่อีกรอบ
"นั่นครับ นั่นมันปรากฏออกมาแล้วครับ แหมช่างสวยงามจับตาเสียจริงๆ"
"แล้วมันอะไรล่ะยะ" เจ้าของวิทยุเก่าพยายามตั้งใจฟัง
"นั่นครับ นั่น ตกลงมาอีกแล้ว โอ้โห ผมยืนอยู่ตรงนี้ยังอดตื่นเต้นไม่ได้เลยครับ ตกลงมาแล้วครับ ตกลงแล้วครับ !!!"
ปึก !
เสียงทัพพีไม้เคาะลงบนขอบหม้อซุปดังขึ้นอย่างไม่พอใจที่ผู้จัดรายการวิทยุพูดจาไม่เข้าใจสักทีว่า ไอ้ที่ปรากฎออกมานั้นคืออะไร และปรากฏออกมาจากไหน
"แหมช่างน่าประทับใจเสียจริงๆ" เสียงจากวิทยุยังคงดังต่อไปภายในห้องครัวเล็กๆ ที่เงียบสงัดและร้อนจัด "ผมไม่เคยเห็นอะไรที่สวยงามจับตาเช่นนี้มาก่อนเลยครับ และผมคาดว่าท่านผู้ฟังทุกคนคงจะรู้สึกเหมือนผมเช่นกันสำหรับปรากฏการณ์อันเหนือความคาดหมายนี้......."
หัวใจของหญิงสาวเต้นตึกตักยิ่งกว่าซุปที่เดือดปุดๆ อยู่ในหม้อ เธอค่อยๆ เร่งเสียงของวิทยุให้ดังมากขึ้นด้วยอยากรู้ว่า ปรากฏการณ์สำคัญนั้นคืออะไร
"จากเมื่อสี่ปีก่อนที่ประเทศของเราพลาดโอกาสในการชมไปอย่างน่าเสียดาย ในตอนนี้เราได้มีโอกาสได้รับชมแล้ว ช่างสวยงามสมคำล่ำลือจริงๆ นะครับ หลายท่านกล่าวว่าปรากฏการณ์นี้คือการได้รับพรจาก....."
เสียงวิทยุดับไปเมื่อถึงจุดสำคัญ หญิงสาวทำการเขย่า 'เจ้าแก่' ในมือไปมาหวังว่าจะช่วยชุบชีวิตให้มันกลับมาดังได้ แต่ก็ไม่....
มันได้จากไปแล้วอย่างไม่มีวันกลับ ขอจงไปสู่สุขคติเถิด.......
โครม !
เสียงวิทยุถูกทุ่มกระแทกพื้นดังขึ้นตามหลังด้วยเสียงตะโกนของสาวเจ้าของมัน
"ไอ้วิทยุบ้า !"
ณ อีกฟากหนึ่งของท้องทุ่ง
ชายหนุ่มผู้หนึ่งกำลังเร่งเดินทางกลับบ้านโดยการเดินเท้าบนถนนดินเหลืองสายเก่าที่มักจะพบเห็นได้ทั่วไปตามแถบชนบทอันห่างไกลความเจริญ ชายคนนี้ไม่ได้มีอะไรที่พิเศษพอที่จะทำให้เขากลายเป็นจุดสนใจของผู้คนได้ เริ่มตั้งแต่ทรงผมที่กระเซอไม่เหลือดี ไล่ไปจนถึงหน้าตาที่สุดรับ และร้ายที่สุดคงไม่พ้นการแต่งตัวของเขาที่แสนจะชนบทเหลือใจ ดูก็รู้เลยว่าชายคนนี้อยู่ในฐานะที่ 'ไม่ค่อยจะมีกิน' แต่ถึงกระนั้นในมือของเขาก็หาได้ว่างเปล่าไม่ เพราะถุงที่เขาถือมานั้นเต็มเอี๊ยดไปด้วยเนื้อสดที่แสนจะราคาแพง ซึ่งเขาเพิ่งจะหาซื้อได้เพื่อนำไปเป็นของขวัญให้แก่ภรรยาที่รักที่รออยู่บ้าน
มื้อต่อไปจะได้ไม่ต้องกินซุปมันฝรั่งแล้วแล้ว !!
ในขณะที่กำลังฝันถึงรสชาติอันหวานละมุนของเนื้อย่างอยู่นั้นเอง หูก็พลันได้ยินถึงเสียงๆ หนึ่งที่ดังอยู่ใกล้ๆ กับทางเข้าทุ่งหญ้าที่โดยปกติแล้วมักจะเงียบสงัด
"อุแว้..... อุแว้..... อุแว้"
แน่นอนว่าชายหนุ่มคนนี้อดที่จะเดินเข้าไปดูไม่ได้ ซึ่งพอเดินเข้าไปแล้ว เขาก็พบกับตะกร้าหวายใบหนึ่งถูกวางทิ้งไว้บนพื้น และภายในนั้นมีทารกคนหนึ่ง กำลังแหกปากร้องไห้จ้าด้วยความหิวและความกลัว
"โอ๋ๆ อย่าร้องนะ" ชายคนนั้นแม้ภายนอกจะดูยอดแย่ แต่จิตใจของเขานั้นยอดเยี่ยม เพราะเขาตัดสินใจหอบเอาตะกร้าของหนูน้อยกลับไปที่บ้านด้วย และในระหว่างที่กำลังจะเดินออกจากทุ่งอยู่นั้นเอง สายตาพลันเหลือบไปเห็นแสงของอะไรบางอย่างเข้า เขาไม่รอช้าที่จะเดินไปดูและนั่นทำให้เขาได้พบกับ !!!!
อัญมณีสีฟ้าที่ใสกระจ่างสว่างโชติช่วงยิ่งกว่าแสงจันทร์ในเดือนเพ็ญ สวยงามจับตาน่าหลงใหลยิ่งกว่ารัตนมณีอันเลอค่า ชายหนุ่มมือสั่น ปากสั่น คอสั่นยามเอื้อมมือออกไปกำมันไว้แล้วเก็บใส่กระเป๋าเสื้อ
ทีนี้ล่ะ บ้านเราจะรวยแล้ว !!!
เขาคิดอย่างยินดีพร้อมกับหอบตะกร้าหวายกลับบ้าน โดยลืมถุงเนื้อสดทิ้งไว้ในท้องทุ่งแห่งนั้นนั่นเอง.....